ลดน้ำหนัก

วิธีการใช้ปากกาลดน้ำหนักแบบรายวัน

สารบัญ วิธีการใช้ปากการายวัน

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเริ่มใช้

ตัวปากกาลดน้ำหนักแบบรายวันสามารถตั้งปริมาณของฮอร์โมนได้ โดยเริ่มที่ 0.6, 1.2, 1.8, 2.4 และ 3 มิลลิกรัม โดยปริมาณในการปรับนี้ต้องทำตามคำแนะนำของแพทย์ โดยจะสังเกตุอาการของผู้ใช้ เพราะร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ปริมาณการใช้ ระยะเวลาในการแสดงผลของแต่ละคนก็ต่างกันออกไป
ปริมาณฮอร์โมนคุมหิวรายวัน

ขั้นตอนที่ 1 ตรวจสอบฮอร์โมน

ปากกาลดน้ำหนักรายวัน ถอดปลอกปากกา

ตรวจสอบตัวปากกา โดยการถอดปอกปากกาออกแล้วสังเกตุของเหลวที่อยู่ข้างในต้องมีลักษณะใสและไม่มีสี

ขั้นตอนที่ 2 ติดตั้งเข็ม

ปากกาลดน้ำหนักรายวัน ลอกสติ๊กเกอร์
นำเข็มฉีดยาสำหรับปากกาลดน้ำหนักขั้นมา ฉีกที่ปิดโคนเข็มออก
ปากกาลดน้ำหนักรายวัน ลอกสติ๊กเกอร์

 สวมเข็มเข้ากับปากกาตรงๆ แล้วหมุนให้แน่น แล้วดึงปอกเข็มชั้นนอกออก แล้้วเก็บไว้เพื่อใช้ในการนนำเข็มออกจากตัวปากกาเมื่อแล้วเสร็จ

ขั้นตอนที่ 3 ตรวจสอบอุปกรณ์

ปากกาลดน้ำหนักรายวัน บิดมาที่ขีด

ตรวจสอบการไหลของตัวฮอร์โมน โดยหมุนที่ช่วงท้ายปากกาให้เข็มสีฟ้า ตรงกับขีดที่บอกขนาด

ปากกาลดน้ำหนักรายวัน ตั้งปากกา

ถือปากกาให้ตัวเข็มชี้ขั้นในแนวตั้ง

ปากกาลดน้ำหนักรายวัน เลือกมาที่ 0

กดปุ่มฉีดยาค้างไว้ จนตัวเลขกลับมาที่เลข 0

ขั้นตอนที่ 4 ปรับปริมาณ

ปากกาลดน้ำหนักรายวัน เลือกฮอร์โมนที่ต้องการ

หมุนปุ่มเลือกขนาดฮอร์โมน ให้ได้ปริมาณที่แพทย์แนะนำ

ขั้นตอนที่ 5 การฉีดยา

ปากกาลดน้ำหนักรายวัน ทำความสะอาดที่ฉีด

ทำความสะอาดผิวหนัง บริเวณที่ต้องการจะฉีดปากกา โดยใช้แอลกอฮอล์หรือน้ำเกลือ

ปากกาลดน้ำหนักรายวัน กดปากกา

แทงเข็มปากกาลงบริเวณผิวหนัง ในตำแหน่งที่จะมองเห็นปริมาณยา

ปากกาลดน้ำหนักรายวัน กดจนดัง

กดปุ่มฉีดปากกาค้างไว้จนตัวเลขกลับมาเป็น 0 ซึ่งจะมีเสียง ‘คลิก’ เมื่อตัวเลขวิ่งกลับมา โดยแช่ปากกาค้างไว้ นับถอยหลัง 10 วินาทีค่อยดึงออก

ขั้นตอนที่ 6 ถอดเข็มทิ้ง

ปากกาลดน้ำหนักรายวัน ปิดให้สนิท
หลังจากใช้งานปากกาแล้ว ให้เสียบตัวปากกาเข้าที่ปลอกเข็มชั้นนอก ดันให้สนิทอย่างระมัดระวัง

คลายเกลียวเพื่อถอดเข็มไปทิ้ง

ปากกาลดน้ำหนักรายวันเสียบปลอกปากกา

สวมปลอกปากกาทุกครั้งหลังใช้งาน เพื่อป้องกันแสง เก็บปากการายวันได้ในอุณหภูมิห้อง

ปากกาลดน้ำหนักราคาเท่าไหร่

สารบัญ ปากกาลดน้ำหนักราคา

ทำไมปากกาลดน้ำหนักมีราคาสูง

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ‘ปากกาลดน้ำหนัก’ ตัวโครงของมันเป็นเพียงอุปกรณ์ช่วยในการนำพาฮอร์โมนที่อยู่ภายในเข้าสู่ร่างกาย ไม่ได้มีต้นทุนที่สูงมากมายเท่าไหร่นัก หากเปรียบเทียบกับปากกาหมึกซึมก็คงไม่ต่างกัน เพียงแต่ราคาน้ำหมึก กับ ราคาฮอร์โมนนั้นมีความยากในการผลิตที่ต่างกัน ดังนั้นสิ่งที่มีค่ามากคือฮอร์โมนที่มีสรรพคุณช่วยในเรื่อง ‘ความหิว’ ต้นใช้ต้นทุนในงานวิจัย ใช้นักวิทยาศาสตร์มากมายในการคิดค้น ณ ปัจจุบันมีบริษัทเพียงหยิบมือ ที่สามารถคิดค้นจนกระทั้งผลิตออกมาได้อย่างสมบูรณ์ ปลอดภัย ได้รับการยอมรับจากกรมอาณามัยโลก โดยมีปัจจัยการผลิตที่เจาะลึกลงไปดังนี้

1)ต้นทุนการวิจัยและพัฒนา

การพัฒนาฮอร์โมนใหม่จำเป็นต้องมีการลงทุนอย่างมากในการวิจัยและพัฒนา ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนารวมถึงการศึกษา การทดลองใช้งานกับอาสาสมัคร และการอนุมัติตามกฎระเบียบ ตามรายงานของ Tufts Center for the Study of Drug Development ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการพัฒนายาใหม่อยู่ที่ประมาณ 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณเกือบๆ 1แสนล้านบาท

2)การทดลองกับคนจริง

การทดลองเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนายา และมีค่าใช้จ่ายความเสี่ยงค่อนข้างสูง ค่าใช้จ่ายของการทดลองรวมถึงการสรรหาและให้ค่าตอบแทนแก่ผู้เข้าร่วมการศึกษา การจัดการข้อมูลการทดลอง และติดตามความคืบหน้าของการทดลอง ค่าใช้จ่ายของการทดลอง อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของการทดลอง จำนวนผู้เข้าร่วม และระยะเวลาของการศึกษา

3)การผลิต

ต้นทุนการผลิตฮอร์โมน ประกอบด้วยวัตถุดิบ แรงงาน อุปกรณ์ และต้นทุนสิ่งอำนวยความสะดวก กระบวนการผลิตประกอบด้วยหลายขั้นตอน รวมถึงการหมัก การทำให้บริสุทธิ์ และการผสมสูตร ต้นทุนการผลิตอาจได้รับผลกระทบจากความซับซ้อนของกระบวนการผลิต ขนาดของล็อตที่ผลิต และมาตรการควบคุมคุณภาพ

4)การตลาดและการจัดจำหน่าย

ค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดและการจัดจำหน่าย รวมถึงการโฆษณา ตัวแทนขาย และการขนส่ง ต้นทุนการตลาดและการจัดจำหน่ายอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับตลาดเป้าหมาย จำนวนของพนักงานขาย และช่องทางการจัดจำหน่ายที่ใช้

5)การคุ้มครองสิทธิบัตร

บริษัทยาลงทุนเงินจำนวนมากในการคุ้มครองสิทธิบัตรเพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ของตนได้รับการปกป้องจากการแข่งขันทางการค้าทั่วไป ค่าใช้จ่ายในการขอรับและปกป้องสิทธิบัตรอาจมีนัยสำคัญ เพราะปัจจุบันมีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้น โดยจ้าวที่ครองตลาดอยู่ ณ ขณะนี้ คือ Novo Nordisk

ถ้าอยากซื้อปากกาลดน้ำหนักต้องติดต่อใคร

ปัจจุบันปากกาลดน้ำหนักเป็นสินค้าควบคุมโดยกระทรวงสาธารณะสุข เป็นยาควบคุมที่ต้องจำหน่ายโดยแพทย์เท่านั้น เพราะตัวฮอร์โมนมีผลต่อร่างกายสูง ถ้าใช้ให้ถูกวิธีจะยิ่งเห็นผล แต่ถ้าใช้ผิดวิธีมีอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นก่อนใช้ควรศึกษาหาข้อมูลให้รอบด้าน สามารถติดต่อหาแพทย์ตามโรงพยาบาลหรือคลินิกที่คุณมั่นใจ ว่าเขามีความรู้ความชำนาญ สามารถแนะนำการใช้งานได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ที่สำคัญตัวยาต้องเป็นของแท้จากผู้ผลิต มี อย.ของไทย ถูกต้องตามกฏหมาย เพราะหากเกิดอันตรายอะไรขึ้นมา ผู้จัดจำหน่ายจะสามารถรับผิดชอบผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้ได้อย่างสมเหตุสมผล

สรุปว่า ราคาของปากกาลดน้ำหนักขึ้นกับอะไร

ต้นทุนในการผลิตเกี่ยวข้องกับปัจจัยต่างๆ เช่น การวิจัยและพัฒนา การทดลอง การผลิต การตลาด การจัดจำหน่าย และการคุ้มครองสิทธิบัตร ต้นทุนทั้งหมดในการผลิตอาจประเมินได้ยาก แต่มีแนวโน้มว่าจะมีนัยสำคัญ เนื่องจากความซับซ้อนของกระบวนการพัฒนายา ต้นทุนของปากกาลดน้ำหนักอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเทศผู้ผลิตและจัดจำหน่าย รวมถึงราคาที่เรียกเก็บโดยผู้ผลิต ผลลัพธ์ที่ได้ก็แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับผู้ใช้แต่ละคน ฮอร์โมนแต่ละชนิด ดั่งนั้นปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนเริ่มใช้งานปากกาลดน้ำหนัก เพื่อตัวของคุณเอง

หากใครสนใจเรียนเชิญที่ DRC Clinic หมอหนูปอนด์ยินดีให้คำปรึกษา

ปากกาลดน้ำหนักราคาเท่าไหร่

ปากกาลดน้ำหนักราคาเท่าไหร่
ปากกาลดน้ำหนักราคาเท่าไหร่
โยโย่เอฟเฟคคืออะไร

สารบัญ โยโย่เอฟเฟค

โยโย่เอฟเฟคคืออะไร

โยโย่เอฟเฟก หรือที่เรียกว่า Weight Cycling หรือ Rebound Weight Gain โยโย่เอฟเฟก หมายถึง รูปแบบของการลดน้ำหนักลงไปมากๆ แล้วน้ำหนักเด้งกลับขึ้นใหม่ (ส่วนใหญ่จะมากกว่าน้ำหนักเดิม ก่อนที่จะลดซะอีก) วงจรนี้อาจทำให้คุณหงุดหงิดและหมดกำลังใจสำหรับผู้ที่กำลังพยายามลดน้ำหนัก

โยโย่เอฟเฟคเกิดขึ้นได้ยังไง

โยโย่เอฟเฟก เกิดขึ้นกับคนที่พยายามลดน้ำหนักด้วยการงดอาหารอย่างผิดวิธี จำกัดแคลอรีที่ได้รับต่อวันอย่างรุนแรง หรือ ทรมานตัวเองด้วยการไม่รับประทานแม้จะรู้สึกหิว ถึงแม้ว่าวิธีการเหล่านี้อาจทำให้น้ำหนักลดลงในช่วงแรก แต่ก็ยากที่จะรักษาไว้ในระยะยาว เพราะเมื่อผู้คนหยุดการไดเอทและกลับไปใช้พฤติกรรมการกินแบบเดิมๆ พวกเขามักจะได้น้ำหนักที่หายไปกลับมา ด้วยกลไกของร่างกายที่ต้องพยายามเอาตัวรอด ร่างกายจะพยายามปรับปริมาณแคลลอรี่ที่ต้องได้รับลงตามปริมาณที่ได้รับในแต่ละวัน ดังนั้นเมื่อเราใช้วิธีลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารแล้วกลับมาทานปกติ จะทำให้แคลลอรี่ที่ได้รับต่อวันสูงกว่าที่ร่างกายต้องการ ทำให้น้ำหนักกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ระบบเผาผลาญในร่างกายจะได้รับผลเสียจากพฤติกรรมเช่นนี้อีกด้วย

อันตรายจากโยโย่เอฟเฟค

โยโย่เอฟเฟคก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังสามารถส่งผลเสียต่อระบบเผาผลาญ ทำให้ลดน้ำหนักได้ยากขึ้นในอนาคต

หลีกเลี่ยงโยโย่เอฟเฟคยังไง

สำหรับคนที่ไม่อยากให้เกิดโยโย่เอฟเฟค สิ่งสำคัญคือต้องใช้วิธีลดน้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพและยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินของคุณอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพิ่มการออกกำลังกาย และมุ่งเน้นไปที่สุขภาพโดยรวมมากกว่าแค่ตัวเลขบนตาชั่ง การทำงานกับนักโภชนาการอาหารที่ขึ้นทะเบียนหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอื่นๆ ยังมีประโยชน์ในการพัฒนาแผนการกินและการใช้ชีวิตที่เหมาะกับคุณ หากต้องการใช้อุปกรณ์เสริมช่วยในการลดน้ำหนัก ก็ต้องศึกษาวิธีการใช้ให้ดี ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญอย่างระมัดระวัง จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี

วิธีการลดน้ำหนักแบบไม่โยโย่

Weight Cycle หรือที่เรียกว่า การอดอาหารแบบโยโย่ หมายถึงรูปแบบการลดน้ำหนักแล้วน้ำหนักกลับมาขึ้นใหม่ บ่อยครั้ง วัฏจักรนี้มักเกี่ยวข้องกับระยะเวลาและวิธีการลดน้ำหนัก ส่งผลให้เกิดการโยโย่ และบางครั้งอาจเกินน้ำหนักเริ่มต้นด้วยซ้ำ โดยสาเหตุเหล่านี้คือปัจจัยที่ทำให้เกิดการโยโย่

1) การเริ่มต้นลดน้ำหนัก

ช่วงแรกที่เราเริ่มลดน้ำหนัก เริ่มโปรแกรมควบคุมอาหารหรือออกกำลังกาย พวกเขาอาจลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว แต่น้ำหนักที่หายไปมักจะอยู่ในรูปของน้ำในร่างกายที่ถูกขับออกและปริมาณ Glyclogen ที่ถูกเก็บสะสมไว้ทำงาน

2) เข้าสู่ช่วงปรับตัว

หลังจากประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักระยะหนึ่ง ความคืบหน้าจะช้าลงหรือหยุดลง น้ำหนักจะเริ่มลดได้น้อยลงหากนำไปเปรียบเทียบกับตอนเริ่มต้นลดอย่างจริงจัง และบุคคลนั้นอาจรู้สึกท้อแท้หรือผิดหวัง จากนั้นพวกเขาอาจเลิกควบคุมอาหารหรือโปรแกรมการออกกำลังกายและกลับไปใช้นิสัยเดิม

3) น้ำหนักเพิ่มขึ้น

เมื่อพวกเขากลับไปใช้พฤติกรรมการกิน และการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ จะทำให้น้ำหนักที่เคยลดลงไปกลับคืนมา บ่อยครั้งที่พวกเขามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าที่สูญเสียไปในตอนเริ่มลดน้ำหนักซะอีก

4) วนซ้ำ

บุคคลที่พยายามลดน้ำหนักนั้นอาจรู้สึกผิดหวังหรือไม่พอใจกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น และตัดสินใจลองโปรแกรมลดน้ำหนักหรือตัวช่วยอื่นๆ จากนั้นวัฏจักรจะวนซ้ำ โดยน้ำหนักลดตามด้วยน้ำหนักขึ้นใหม่ อย่างไม่จบไม่สิ้น พยายามเท่าไหร่ก็ไม่สามารถลดน้ำหนักได้จริงๆซักที ติดอยู่ในวังวนของโยโย่เอฟเฟค

ผลกระทบจากโยโย่เอฟเฟค

วัฏจักรของโยโย่เอฟเฟค ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ

ผลกระทบทางกายภาพ
– เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และความดันโลหิตสูง
– การเผาผลาญอาหารช้าลง
– มวลกล้ามเนื้อลดลง
– เพิ่มการอักเสบในร่างกาย

ผลกระทบต่อสุขภาพจิต
– ความนับถือตนเองต่ำ
– ภาพร่างกายไม่ดี
– ความวิตกกังวลหรือภาวะซึมเศร้า
– รูปแบบการรับประทานอาหารที่ไม่เป็นระเบียบ

สรุปว่า โยโย่เอฟเฟคคืออะไร

เพื่อหลีกเลี่ยงโยโย่เอฟเฟค สิ่งสำคัญคือต้องนำแนวทางที่ยั่งยืนมาใช้เพื่อลดน้ำหนักโดยเน้นที่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีสุขภาพดี แทนที่จะพึ่งพาอาหารตามกระแสหรือสูตรการออกกำลังกายที่รุนแรง สิ่งสำคัญคือต้องให้ความสำคัญกับสุขภาพโดยรวมมากกว่าแค่การลดน้ำหนัก การใช้อุปกรณ์เสริม ตัวช่วยอาหารเสริมต่างๆ เช่น ปากกาลดน้ำหนัก แคปซูลคุมหิว ก็ต้องใช้อย่างเหมาะสม ภายใต้การดูแลของแพทย์และขอการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ จะทำให้เราลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัยและได้ผล เรียกว่า “ช้าแต่ชัว” คือวิธีที่ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกแนะนำครับ

หากใครสนใจเรียนเชิญที่ DRC Clinic หมอหนูปอนด์ยินดีให้คำปรึกษา

โยโย่เอฟเฟคคืออะไร

โยโย่เอฟเฟคคืออะไร
โยโย่เอฟเฟคคืออะไร
วิธีการใช้ปากกาลดน้ำหนัก

สารบัญ วิธีการใช้ปากกาลดน้ำหนัก

วิธีการสำคัญยังไง

ขั้นตอนการใช้ปากกาลดน้ำหนัก ผู้ใช้ต้องรู้ตัวเองก่อน ว่าสุขภาพตัวเองตอนนี้เป็นอย่างไร ค่า BMI อยู่ที่เท่าไหร่ วิถีชีวิตเป็นอย่างไร มีเวลาดูแลตัวเองมากน้อยค่อยไหน พฤติกรรมการทานเป็นอย่างไร

การใช้ปากกาลดน้ำหนัก สิ่งสำคัญคือสถานการณ์ด้านสุขภาพและเป้าหมายการลดน้ำหนักของคุณ หากคุณกำลังต่อสู้กับโรคอ้วนและไม่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่น ปากกาลดน้ำหนัก อาจเป็นตัวเลือกที่มีประโยชน์สำหรับคุณในการพิจารณาภายใต้คำแนะนำของผู้ให้บริการด้านสุขภาพ

หากใช้ด้วยตัวเอง ใช้ไม่ถูกวิธีนอกจากจะเสียเงินไปฟรีๆ ยังเสี่ยงต่อผลลัพธ์จากการใช้มากเกินขนาด ใช้ไม่ถูกจังหวะ กะปริมาณไม่เหมาะสม วิธีการใช้จึงสำคัญมาก เพราะตัวปากกาลดน้ำหนักมีฮอร์โมนเป็นส่วนประกอบ ซึ่งมีผลกับร่างกายโดยตรง ควรปรึกษาแพทย์และใช้งานภายใต้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด ตลอดการใช้งาน

ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้งาน

ปรึกษาแพทย์
การคุยกับแพทย์ นับเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดก่อนการเริ่มใช้ เมื่อเราหาข้อมูลได้ครบถ้วนแล้ว ว่าแพทย์ที่เราต้องการให้เป็นที่ปรึกษาในการใช้ปากกาลดน้ำหนัก มีความรู้ ความชำนาญ มีประสบการณ์มากน้อยแค่ไหน มีเคสที่ดูแลเป็นอย่างไร รีวิวจากคนที่เคยปรึกษากับคุณหมอท่านนั้นๆก็มีส่วนสำคัญ เหมือนเราได้เห็นอนาคตของตัวเองว่าถ้าปรึกษากับหมอท่านนี้ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ใส่ใจผู้ใช้มากน้อยแค่ไหน มีการติดตามผล และแนะนำอย่างต่อเนื่องหรือไม่

อ่านคู่มือให้เข้าใจ

ปากกาลดน้ำหนักแต่ละยี่ห้อ มีวิธีการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป หากคุณซื้อกับผู้ผลิตโดยตรงก็ต้องทำตามคำแนะนำจากคู่มือเท่านั้น แต่หากคุณมีแพทย์ที่ปรึกษา วิธีการใช้งานจะละเอียดและถูกประยุกต์ให้เข้ากับวิถีชีวิตของเราๆมากขึ้นกว่าเดิม โดยคู่มือที่แพทย์ให้มาจะเป็นคู่มือที่ทำขึ้นใหม่ โดยมีการอิงข้อมูลจากผู้ผลิตเพียงเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม

ปากกาลดน้ำหนักแต่ละยี่ห้อก็มีอุปกรณ์ที่แตกต่างกันออกไป เพราะบางยี่ห้อเป็นแบบฉีดรายวัน ต้องฉีดทุกวัน ต้องมีเข็มสำรอง เพราะเข็มเราไม่ควรใช้ซ้ำ แต่หากเป็นปากการายสัปดาห์ แบบฉีดครั้งเดียวหมดด้าม ก็ไม่จำเป็นต้องมีเข็มสำรอง เพราะฉีดแล้วสามารถทิ้งตัวปากกาไปได้เลย โดยตัวปากกาลดน้ำหนักและเข็มจะต้องถูกซีลมาอย่างดี เพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้ามาเจือปน ก่อนฉีดก็ควรทำความสะอาดบริเวณที่จะฉีดให้ดี เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกที่ติดบริเวณที่เราจะฉีดเข้าสู่ร่างกาย

วิเคราะห์ปริมาณที่ต้องใช้

ปริมาณที่ต้องใช้จะถูกแบ่งออกตามปัญหาของแต่ละคน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าร่างกายเราต้องการปริมาณเท่าไหร่ ยี่ห้อไหนถึงจะเหมาะ เราก็ต้องกลับไปปรึกษาแพทย์ก่อนอยู่ดี อย่างปากกาลดน้ำหนักแบบรายวัน ก็จะมีปริมาณเริ่มต้นที่ 0.6mg ต่อวัน แล้วค่อยๆปรับเพิ่มขึ้นตามปริมาณร่างกายของเราที่ได้รับ แต่หากเป็นปากกาแบบรายสัปดาห์จะไม่มีกำหนดปริมาณ แต่ก็มีบางยี่ห้อที่จะระบุปริมาณฮอร์โมนที่มีในตัวปากกา ไม่สามารถปรับลดหรือเพิ่มได้ ฉะนั้นก่อนตัดสินใจซื้อมาใช้ ก็ต้องเข้าใจถึงปัญหาของตัวเองก่อน ว่าใช้แบบไหนถึงจะเหมาะ เพราะมีบางกรณีที่ผู้ใช้ต้องการจะได้ด้ามที่มีปริมาณฮอร์โมนเยอะๆ เพราะกลัวจะไม่คุ้ม !!! ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมากสำหรับการรับฮอร์โมนเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ ควรเลือกซื้อตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น เนื่องจากจะได้ตัวปากกาลดน้ำหนักที่เหมาะสมกับตัวคุณ

ฉีดปากกาลดน้ำหนัก

เลือกตำแหน่งฉีดบนร่างกายของคุณ (เช่น หน้าท้อง ต้นขา หรือต้นแขน) และทำความสะอาดบริเวณนั้นด้วยผ้าเช็ดแอลกอฮอล์ บีบผิวหนังบริเวณที่ฉีดแล้วสอดเข็มเข้าไปในผิวหนังโดยทำมุม 90 องศา กดปุ่มขนาดยาเพื่อฉีดยา อย่างลืมถอดฝาปลดซีลก่อนฉีดทุกครั้ง โปรดดูคู่มือวิธีการฉีดให้เข้าใจ และทำตามทุกขั้นตอนอย่างระมัดระวัง

ตรวจสอบอาการหลังฉีด

ตรวจดูอาการหลังฉีดฮอร์โมนเข้าสู่ร่างกาย ว่ามีอาการข้างเคียงหรือไม่ หากพบว่ามีอาการคลื่นไส้ อาเจียร ให้รีบจัดการตัวเองและแจ้งให้แพทย์ที่ปรึกษาทราบถึงอาการ เพื่อวางแผนหาแนวทางในการใช้งาน จากผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นเฉพาะบุคคล หจนกว่าแพทย์จะมีความเห็นให้ใช้งานได้ห้ามลองเองเด็ดขาด เพราะอาจจะเกิดอันตรายต่อตัวคุณเอง แต่สำหรับคนที่ไม่มีอาการข้างเคียงก็ต้องพิจารณาตัวเองว่ามีอาการหิวหรือไม่ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร เพราะร่างกายของบางคนการได้รับปริมาณฮอร์โมนที่น้อยเกินไปก็อาจจะไม่ได้ผล ต้องปรึกษาแพทย์เพื่อขอความเห็นในการเพิ่มปริมาณฮอร์โมนให้เหมาะสมกับร่างกาย

เก็บรักษาอุปกรณ์

อุณหภูมิ คือ ปัจจัยสำคัญในการเก็บรักษาปากกาลดน้ำหนัก เพราะสิ่งที่อยู่ในปากกาก็คือฮอร์โมน GLP-1 ซึ่งจะมีประสิทธิภาพเมื่ออยู่ในอากาศที่เหมาะสม โดยมีกรณีที่แตกต่างกันออกไป สำหรับปากกาลดน้ำหนักแบบรายวันก่อนใช้สามารถเก็บในอุณหภูมิห้องปกติได้ แต่เมื่อมีการแกะเริ่มใช้งานจะต้องมีการใช้ซ้ำ ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิต่ำ อาจจะไม่สะดวกสำหรับคนที่มีการเดินทางบ่อย แต่สำหรับปากกาลดน้ำหนักแบบรายสัปดาห์ ก่อนใช้งานก็ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นหลังใช้เสร็จก็สามารถทิ้งได้เลย เวลาขนส่งก็ต้องส่งแบบห้องเย็นเท่านั้น เพื่อให้ฮอร์โมนมีประสิทธิภาพ ซึ่งแตกต่างจากปากกาแบบรายวันที่ขนส่งได้ง่ายกว่าแต่ระหว่างใช้ในวันถัดไปต้องเก็บรักษาในตู้เย็นเสมอ

รายงานความคืบหน้า

การอัพเดทผลลัพธ์หลังจากการใช้งานปากกาลดน้ำหนัก ควรทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ แพทย์ผู้ปรึกษาที่ดีก็จะมีระบบติดตามผล มีผู้ช่วยที่ให้คำแนะนำกับผู้ใช้งาน เป็นห่วงผู้ใช้ทั้งผลลัพธ์หลังใช้และน้ำหนักที่เปลี่ยนแปลงไป ที่สำคัญปากกาลดน้ำหนักไม่ใช่ปากกาวิเศษ ที่ใช้งานแล้วน้ำหนักจะลดลงได้ทันทีโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องพยายามทำอะไร ผู้ใช้ก็ต้องมีวินัยในการใช้งานปากกาลดน้ำหนัก ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ผลลัพธ์ที่ต้องการก็ไม่ไกลเกิน ขอเพียงมีความตั้งใจและมุ่งมั่นมากพอ

สรุปว่า วิธีการใช้ปากกาลดน้ำหนัก

ทั้งหมดทั้งมวล สิ่งสำคัญที่สุดในทุกๆขั้นตอนคือ ต้องมีแพทย์อยู่ร่วมทุกสถานการณ์ ถึงแม้ไม่สะดวกก็สามารถติดต่อกันผ่านทางช่องทางออนไลน์ที่สะดวกได้ตลอดเวลา เริ่มตั้งแต่การเลือกซื้อปากกา ตลอดจนถึงการอัพเดทผลลัพธ์ ล้วนแต่ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญในการตัดสินใจทั้งสิ้น สุดท้ายนี้หวังว่าผู้อ่านจะเข้าใจและตระหนักถึงขั้นตอนในการใช้ปากกาลดน้ำหนักว่ามีปัจจัยใดบ้าง หวังว่าทุกคนจะทำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้หลังใจเข้าใจเนื้อหานี้แล้วทั้งหมด

หากใครสนใจเรียนเชิญที่ DRC Clinic หมอหนูปอนด์ยินดีให้คำปรึกษา

วิธีการใช้ปากกาลดน้ำหนัก

วิธีการใช้ปากกาลดน้ำหนัก
วิธีการใช้ปากกาลดน้ำหนัก
ปากกาลดน้ำหนักมีกี่ประเภท

สารบัญ ปากกาลดน้ำหนักมีกี่ประเภท

ฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความหิวมีอะไรบ้าง

มีฮอร์โมนหลายตัวที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมน้ำหนักของร่างกายและการเผาผลาญ และฮอร์โมนบางชนิดอาจมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักโดยอ้อม นี่คือตัวอย่างบางส่วน:

Leptin: LEP เป็นฮอร์โมนที่ผลิตโดยเซลล์ไขมันที่ช่วยควบคุมความอยากอาหารและการเผาผลาญ เป็นการส่งสัญญาณไปยังสมองว่าคุณอิ่มแล้วและควรหยุดกิน ในบางกรณี คนอ้วนอาจมีระดับเลปตินสูง แต่ร่างกายจะต้านทานต่อผลกระทบดังกล่าว ซึ่งอาจนำไปสู่การกินมากเกินไปและน้ำหนักขึ้นได้

Insulin: อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่ผลิตโดยตับอ่อนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อคุณกินคาร์โบไฮเดรต ร่างกายจะปล่อยอินซูลินเพื่อช่วยนำกลูโคสเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน อย่างไรก็ตาม หากคุณมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน (ภาวะที่เซลล์ของคุณดื้อต่ออินซูลิน) ร่างกายของคุณอาจผลิตอินซูลินมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้

Ghrelin: เกรลินเป็นฮอร์โมนที่ผลิตโดยกระเพาะอาหารที่กระตุ้นความอยากอาหาร เมื่อท้องของคุณว่างเปล่า ระดับเกรลินจะเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ความหิวและการกินมากเกินไป

Cholecystokinin: CCK เป็นฮอร์โมนที่ผลิตโดยลำไส้เล็กที่ช่วยควบคุมการย่อยอาหารและความอยากอาหาร เป็นการส่งสัญญาณไปยังสมองว่าคุณอิ่มแล้วและควรหยุดกิน

Glucagon: กลูคากอนเป็นฮอร์โมนที่ผลิตโดยตับอ่อนที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เป็นการส่งสัญญาณให้ตับปล่อยกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งสามารถช่วยเผาผลาญไขมันเพื่อเป็นพลังงานได้ โดยเจ้ากูลคากอนนี่แหละ เป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักโดยส่งเสริมการสลายไขมันและยับยั้งการสะสมไขมัน โดยกระตุ้นการสลายไตรกลีเซอไรด์ที่เก็บไว้ในเนื้อเยื่อไขมัน (เซลล์ไขมัน) และเพิ่มการปลดปล่อยกรดไขมันอิสระเข้าสู่กระแสเลือด สิ่งนี้นำไปสู่การเผาผลาญไขมันที่เพิ่มขึ้นและสามารถช่วยลดการสะสมไขมันในร่างกาย นอกจากนี้ กลูคากอนยังช่วยลดความอยากอาหารและการบริโภคอาหาร ซึ่งสามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้ด้วย เมื่อกลูคากอนหลั่งออกมาเพื่อตอบสนองต่อมื้ออาหาร มันจะส่งสัญญาณให้สมองลดการบริโภคอาหารและเพิ่มความรู้สึกอิ่ม

เราจะเห็นว่าฮอร์โมนทุกชนิดถูกผลิตขึ้นจากร่างกายของเรา โดยเป็นไปตามกลไกธรรมชาติ แต่ถ้าเราต้องการมากขึ้นล่ะ สิ่งที่ร่างกายเราผลิตมันไม่เพียงพอเราต้องทำยังไง นักวิทยาศาสตร์จึงได้มีการคิดค้นฮอร์โมนขึ้นมาทดแทน โดยมีคุณสมบัติเหมือนกับที่ร่างกายเราสร้างได้ ยิ่งเหมือนเท่าไหร่ร่างกายก็จะยิ่งต่อต้านน้อยลงเท่านั้น จึงได้มีการคิดค้นตัว GLP-1 ย่อมาจาก Glucagon Like Peptide 1 เป็นสารสั่งเคราะห์ที่สร้างมาเพื่อเพิ่มปริมาณกูลคากอนในร่างกายนั่นแหละ นอกจากนั้นยังถูกผลิตให้อยู่ในรูปแบบที่ใช้งานด้วยตัวเองได้สะดวก ไม่ต้องผ่านมือแพทย์ แต่ต้องมีแพทย์คอยให้คำปรึกษาในการใช้งาน ทั้งในรูปแบบของ ปากกาลดน้ำหนักรายวัน รายสัปดาห์ ยาอัดเม็ด โดยมีหลายชนิดหลายยี่ห้อ ดังนี้

ปากกาลดน้ำหนัก SXD

ปากกาลดน้ำหนัก Saxenda
ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกินโดยมีเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักอย่างน้อยหนึ่งอย่าง เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 ความดันโลหิตสูง หรือคอเลสเตอรอลสูง ประกอบด้วยสารออกฤทธิ์ ลิลาซึ่งเป็นตัวที่มีลักษณะคล้ายกลูคากอนเปปไทด์-1 (GLP-1)

คำอธิบายโดยละเอียดเพิ่มเติม:

ทำงานอย่างไร?
ทำงานโดยเลียนแบบผลของฮอร์โมน GLP-1 ซึ่งผลิตขึ้นตามธรรมชาติในร่างกายเพื่อตอบสนองต่อการบริโภคอาหาร GLP-1 ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความอยากอาหาร และการย่อยอาหารกระตุ้นตัวรับ GLP-1 ในสมอง ซึ่งช่วยลดความอยากอาหารและเพิ่มความรู้สึกอิ่ม ส่งผลให้การบริโภคอาหารลดลง ส่งผลให้น้ำหนักลดลง

ควรใช่ปริมาณเท่าไหร่?
เป็นการฉีดเข้าใต้ผิวหนังที่ให้วันละครั้งในเวลาใดก็ได้โดยไม่ต้องรับประทานอาหาร ปริมาณจะค่อยๆเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาหลายสัปดาห์เพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง ขนาดยาเริ่มต้นที่แนะนำคือ 0.6 มก. ต่อวัน โดยเพิ่มขึ้น 0.6 มก. ทุกสัปดาห์จนกว่าจะถึงขนาดปกติ 3 มก. ต่อวัน

ผลข้างเคียงมีอะไรบ้าง?
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดคือ คลื่นไส้ ท้องเสีย ท้องผูก อาเจียน และระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ (ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ) ผลข้างเคียงเหล่านี้มักเกิดขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกของการรักษาและมักจะบรรเทาลงเมื่อเวลาผ่านไป ผลข้างเคียงอื่นๆ ที่เป็นไปได้ ได้แก่ ปวดศีรษะ วิงเวียน ปวดท้อง และอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น

ใครบ้างที่ไม่ควรใช้?
ไม่เหมาะสำหรับทุกคน ไม่ควรใช้โดยผู้ที่มีประวัติส่วนตัวหรือครอบครัวเกี่ยวกับมะเร็งต่อมไทรอยด์ โรคเนื้องอกต่อมไร้ท่อชนิดที่ 2 หรือประวัติตับอ่อนอักเสบ

มีประสิทธิภาพแค่ไหนในการลดน้ำหนัก?
ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักในการทดลองทางคลินิก ในการศึกษาผู้ใหญ่กว่า 3,700 คนที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนโดยมีภาวะที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักอย่างน้อยหนึ่งอย่าง ผู้ที่ใช้งานลดน้ำหนักเฉลี่ย 8.4% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้นในช่วง 56 สัปดาห์ เทียบกับ 2.8% ของผู้ที่ได้รับยาหลอก อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าผลลัพธ์ของแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกันไป และควรใช้ร่วมกับการรับประทานอาหารที่มีแคลอรีลดลงและเพิ่มการออกกำลังกาย

สรุปได้ว่า ใช้ในการควบคุมน้ำหนักในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนที่มีภาวะที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักอย่างน้อยหนึ่งอย่าง เป็นการฉีดเข้าใต้ผิวหนังที่ให้วันละครั้งและทำงานโดยลดความอยากอาหารและเพิ่มความรู้สึกอิ่ม ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักในการทดลองทางคลินิก แต่ควรใช้ร่วมกับการรับประทานอาหารที่มีแคลอรีต่ำและเพิ่มการออกกำลังกาย สิ่งสำคัญคือต้องพูดคุยกับผู้ให้บริการด้านสุขภาพเพื่อพิจารณาว่าแซคเซนดาเหมาะกับคุณหรือไม่

ปากกาลดน้ำหนัก TLCT

ปากกาลดน้ำหนัก Trulicity
ทำงานอย่างไร?
ทำงานโดยเลียนแบบผลกระทบของฮอร์โมน GLP-1 ซึ่งผลิตขึ้นตามธรรมชาติในร่างกายเพื่อตอบสนองต่อการบริโภคอาหาร GLP-1 ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดโดยกระตุ้นการหลั่งอินซูลินและลดการหลั่งกลูคากอนซึ่งช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ยังช่วยลดความอยากอาหารและเพิ่มความรู้สึกอิ่ม นำไปสู่การลดปริมาณอาหารและทำให้น้ำหนักลดลง

ใช้งานอย่างไร?
เป็นการฉีดเข้าใต้ผิวหนังสัปดาห์ละครั้งในวันเดียวกันทุกสัปดาห์ ขนาดยาขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วย และจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็นเวลาหลายสัปดาห์เพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง ขนาดเริ่มต้นที่แนะนำคือ 0.75 มก. สัปดาห์ละครั้ง ซึ่งสามารถเพิ่มเป็น 1.5 มก. สัปดาห์ละครั้งหลังจากสี่สัปดาห์หากจำเป็น

ผลข้างเคียงคืออะไร?
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด คือ คลื่นไส้ ท้องเสีย อาเจียน และปวดท้อง ผลข้างเคียงเหล่านี้มักเกิดขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกของการรักษาและมักจะบรรเทาลงเมื่อเวลาผ่านไป ผลข้างเคียงอื่นๆ ที่เป็นไปได้ ได้แก่ ความอยากอาหารลดลง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ และระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ (ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ)

ใครไม่ควรใช้?
ความจริงไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน ไม่ควรใช้โดยผู้ที่มีประวัติส่วนตัวหรือครอบครัวเกี่ยวกับมะเร็งต่อมไทรอยด์หรือเนื้องอกชนิดหนึ่งที่เรียกว่ากลุ่มอาการเนื้องอกต่อมไร้ท่อชนิดที่ 2

มีประสิทธิภาพแค่ไหนในการควบคุมเบาหวาน?
ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเบาหวานประเภท 2 ในการทดลองทางคลินิก ในการศึกษาผู้ใหญ่กว่า 4,000 คนที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ผู้ที่รับประทาน สามารถลดระดับ HbA1c ได้มากกว่า (การวัดระดับน้ำตาลในเลือดโดยเฉลี่ยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา) เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับยาหลอก ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสำหรับการลดน้ำหนักในผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2

โดยสรุป ใช้รักษาเบาหวานชนิดที่ 2 ในผู้ใหญ่ เป็นการฉีดเข้าใต้ผิวหนังที่ใช้สัปดาห์ละครั้งและทำงานโดยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร และเพิ่มความรู้สึกอิ่ม ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคเบาหวานและการลดน้ำหนักในการทดลองทางคลินิก สิ่งสำคัญคือต้องพูดคุยกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพเพื่อพิจารณาว่าเหมาะกับคุณหรือไม่

ปากกาลดน้ำหนัก OZP

เป็นสารออกฤทธิ์ซึ่งอยู่ในกลุ่มของยาที่เรียกว่าตัวรับตัวรับที่มีลักษณะคล้ายกลูคากอนเปปไทด์-1 (GLP-1) GLP-1 receptor agonists ทำงานโดยเลียนแบบผลของฮอร์โมน GLP-1 ซึ่งผลิตขึ้นตามธรรมชาติในร่างกายและช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ใช้งานอย่างไร?
มาในปากกาแบบเติมล่วงหน้าที่ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง (ใต้ผิวหนัง) สัปดาห์ละครั้ง อาจปรับขนาดยาตามการตอบสนองของผู้ป่วยแต่ละรายต่อยา

ผลข้างเคียงของคืออะไร?
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ท้องผูก ปวดท้อง ปวดศีรษะ และความอยากอาหารลดลง ในบางกรณี อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงที่เรียกว่าตับอ่อนอักเสบ ซึ่งเป็นการอักเสบของตับอ่อน อาการของโรคตับอ่อนอักเสบ ได้แก่ ปวดท้องอย่างรุนแรง คลื่นไส้ และอาเจียน

มีหลักการทำงานอย่างไร?
ทำงานโดยเพิ่มการปลดปล่อยอินซูลินจากตับอ่อน ซึ่งช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ยังช่วยลดการปล่อยกลูคากอนซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ ยังชะลอการล้างของกระเพาะอาหาร ซึ่งสามารถช่วยลดความอยากอาหารและส่งเสริมการลดน้ำหนัก

มีประโยชน์อย่างไร?
การศึกษาพบว่าสามารถช่วยลดระดับ A1C (การวัดระดับน้ำตาลในเลือดโดยเฉลี่ยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา) รวมทั้งลดความเสี่ยงของเหตุการณ์เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองอาจช่วยส่งเสริมการลดน้ำหนัก

ใครบ้างที่สามารถใช้ได้?
ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในผู้ใหญ่ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 หรือ diabetic ketoacidosis (ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงของโรคเบาหวาน) ควรใช้ด้วยความระมัดระวังในผู้ที่มีประวัติตับอ่อนอักเสบหรือมะเร็งต่อมไทรอยด์

ควรเก็บรักษาอย่างไร?
ควรเก็บปากกาไว้ในตู้เย็น แต่สามารถเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องได้นานถึง 56 วัน ควรเก็บปากกาที่ไม่ได้ใช้ไว้ในบรรจุภัณฑ์เดิมเพื่อป้องกันแสงและความร้อน

มียาอื่นใดที่ไม่ควรรับประทานร่วมกันหรือไม่? อาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด รวมถึงอินซูลินและซัลโฟนิลยูเรีย (ยารักษาโรคเบาหวานประเภทอื่น) ผู้ป่วยควรแจ้งให้ผู้ให้บริการด้านสุขภาพทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่พวกเขากำลังรับประทานอยู่ก่อนที่จะเริ่มใช้

ยาเม็ดคุมหิว RBS

วิธีการทำงาน:
ทำงานโดยเลียนแบบผลของฮอร์โมน GLP-1 ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้การย่อยอาหารช้าลงและช่วยให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินได้มากขึ้นเมื่อจำเป็น สิ่งนี้นำไปสู่การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ดีขึ้น

วิธีรับประทาน:
นำมารับประทานเป็นยาเม็ดที่อมไว้ใต้ลิ้น ควรรับประทานยาเม็ดในขณะท้องว่างอย่างน้อย 30 นาทีก่อนอาหารมื้อแรกของวัน ไม่ควรกลืนหรือเคี้ยวแท็บเล็ต

ปริมาณ:
ขนาดเริ่มต้นที่แนะนำของ คือ 3 มก. วันละครั้งในช่วง 30 วันแรก หลังจาก 30 วัน ปริมาณจะเพิ่มขึ้นเป็น 7 มก. วันละครั้ง ผู้ป่วยบางรายอาจต้องการขนาดยาที่สูงกว่า 14 มก. วันละครั้ง ขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลในเลือดและการตอบสนองต่อการรักษา

ผลข้างเคียง:
ผลข้างเคียงทั่วไป ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง ปวดท้อง และความอยากอาหารลดลง ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะหายไปหลังจากการรักษาไม่กี่วันหรือหลายสัปดาห์ ผลข้างเคียงอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ ตับอ่อนอักเสบ ปัญหาเกี่ยวกับไต และมะเร็งต่อมไทรอยด์

ข้อควรระวัง:
ไม่ควรใช้กับผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 หรือ ketoacidosis จากเบาหวาน ควรใช้ด้วยความระมัดระวังในผู้ที่มีประวัติตับอ่อนอักเสบหรือปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรใช้เนื่องจากยังไม่ทราบความปลอดภัยในการตั้งครรภ์

ปฏิกิริยา:
อาจมีปฏิกิริยากับยาอื่น ๆ รวมทั้งยาคุมกำเนิด ยาปฏิชีวนะ และยาลดกรด สิ่งสำคัญคือต้องแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณกำลังใช้ก่อนที่จะเริ่มการรักษาด้วย

ประสิทธิผล:
ได้รับการแสดงว่ามีประสิทธิภาพในการลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในการทดลองทางคลินิกพบว่าช่วยในการลดน้ำหนักและปรับปรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด

สรุปว่า ปากกาลดน้ำหนักมีกี่ประเภท

ปากกาลดน้ำหนัก ไม่ได้มีแค่เพียงรูปแบบปากกาเท่านั้น ยังถูกแบ่งออกเป็นยาเม็ดสำหรับคนที่กลัวเข็ม มีมากมายหลายยี่ห้อ แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นตัวที่ผ่านมาตรฐาน อย. ของไทย และมีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายและปลอดภัย โดยแบ่งประเภทการใช้งานตามฮอร์โมน มีฮอร์โมนทั้งหมด 3 แบบ คือ LRLT DLGT และ SMGT เป็นยาในกลุ่ม GLP-1 เป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับโรคเบาหวานประเภท 2 และยังสามารถช่วยในการลดน้ำหนักและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับยาอื่นๆ ยาเหล่านี้อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน และสิ่งสำคัญคือต้องหารือถึงประโยชน์และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณ

หากใครสนใจเรียนเชิญที่ DRC Clinic หมอหนูปอนด์ยินดีให้คำปรึกษา

ปากกาลดน้ำหนักมีกี่ประเภท

ปากกาลดน้ำหนักมีกี่ประเภท
ปากกาลดน้ำหนักมีกี่ประเภท
ใครบ้างที่ต้องใช้ ปากกาลดน้ำหนัก

สารบัญ ใครบ้างที่ต้องใช้ปากกาลดน้ำหนัก

ใครบ้างที่ต้องใช้ปากกาลดน้ำหนัก

หากถามว่าใครบ้างต้องใช้ปากกาลดน้ำหนัก ขึ้นอยู่กับแต่ละคนประสบปัญหาในการลดน้ำหนัก พวกเขาอาจพิจารณาปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เช่น ผู้มีความรู้สามารถวางแผนโภชนาการหรือแพทย์ เพื่อวางแผนการลดน้ำหนักเฉพาะบุคคล ซึ่งคนกลุ่มนี้จะอยู่ในกลุ่มที่ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคอ้วน ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคเบาหวาน โรคความดัน โรคร้ายต่างๆที่มีแนวโน้มจะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต บางโรคไม่สามารถรักษาให้หายขาด บางโรคอาจจะทำให้เราสูญเสียสิ่งสำคัญบางอย่างในร่างกาย เช่น ตัดแขน ตัดขา เป็นต้น

ใช้เพื่อช่วยให้ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคอ้วนหรือผู้ที่มีน้ำหนักเกินโดยมีปัญหาทางการแพทย์เกี่ยวกับน้ำหนักสามารถลดน้ำหนักได้ เป็นตัวรับ GLP-1 ชนิดหนึ่งที่ทำงานโดยเลียนแบบการทำงานของฮอร์โมน GLP-1 ซึ่งช่วยควบคุมความอยากอาหารและการบริโภคอาหาร

โดยทั่วไปแล้ว ปากกาลดน้ำหนักจะแนะนำสำหรับผู้ใหญ่ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) 30 ขึ้นไป ซึ่งถือว่าเป็นโรคอ้วน หรือมีค่าดัชนีมวลกาย 27 ขึ้นไป และมีปัญหาทางการแพทย์เกี่ยวกับน้ำหนักอย่างน้อย 1 ข้อ เช่น ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง หรือเบาหวานชนิดที่ 2

ปากกาลดน้ำหนัก ต้องใช้เป็นประจำ สม่ำเสมอ ตามสรรพคุณของฮอร์โมนที่ใช้ และขนาดยาจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็นเวลาหลายสัปดาห์เพื่อลดผลข้างเคียง ยาทำงานโดยการชะลอการล้างของกระเพาะอาหารและลดความอยากอาหาร ส่งผลให้ปริมาณแคลอรี่ลดลงและน้ำหนักลดลง

โปรดทราบว่า ปากกาลดน้ำหนัก ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหามหัศจรรย์สำหรับการลดน้ำหนัก ใครใช้งานร่วมกับการรับประทานอาหารที่มีแคลอรีต่ำและเพิ่มการออกกำลังกาย ยานี้มีขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการช่วยให้ผู้ที่มีโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกินบรรลุเป้าหมายการลดน้ำหนักและรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับยาอื่นๆ ปากกาลดน้ำหนัก อาจมีผลข้างเคียง และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพูดคุยกับบุคลากรทางการแพทย์เพื่อพิจารณาว่าเหมาะสมกับความต้องการด้านสุขภาพเฉพาะของแต่ละบุคคลหรือไม่ และเพื่อติดตามผลที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ นอกจากนี้ ปากกาลดน้ำหนัก อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน และบุคลากรทางการแพทย์สามารถช่วยประเมินประวัติทางการแพทย์ของแต่ละคนและปัจจัยอื่นๆ เพื่อพิจารณาว่ายานั้นเหมาะสมกับพวกเขาหรือไม่

ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ปากกาลดน้ำหนัก

ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ปากกาลดน้ำหนัก (2)
บุคลากรทางการแพทย์สามารถประเมินประวัติทางการแพทย์ พฤติกรรมการบริโภคอาหาร และระดับการออกกำลังกายของบุคคลเพื่อพัฒนาแผนการลดน้ำหนักที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับแต่ละบุคคล แผนอาจรวมถึงคำแนะนำสำหรับการรับประทานอาหารที่สมดุล การจำกัดแคลอรี่ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่สามารถช่วยส่งเสริมความสำเร็จในการลดน้ำหนักในระยะยาว

สิ่งสำคัญ คือ การใช้ปากกาลดน้ำหนักไม่ใช่วิธีเดียวที่เหมาะกับทุกคน และวิธีที่ใช้ได้ผลกับคนคนหนึ่งอาจไม่ได้ผลสำหรับอีกคนหนึ่ง แต่ตัวปากกาจะช่วยปรับพฤติกรรมการรับประทาน ให้ทานได้น้อยลง โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดและทรมานเหมือนกับการอดอาหาร ที่เป็นการฝืนกลไกธรรมชาติ สุดท้ายร่างกายจะปรับตัวให้เข้ากับปริมาณอาหารที่ทานได้น้อยลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำงานร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์เพื่อพัฒนาแผนการลดน้ำหนักเฉพาะบุคคลซึ่งปรับให้เหมาะกับความต้องการและความชอบเฉพาะของแต่ละบุคคล

ภาวะน้ำหนักเกิน

การมีน้ำหนักเกินเป็นภาวะทางการแพทย์ คือบุคคลที่มีไขมันในร่างกายมากเกินไปซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ โดยคนทั่วไปจะอยู่ในเกณฑ์ปกติไม่เกิน 24.9 แต่คนที่เริ่มอ้วนจะมีดัชนีมวลกาย (BMI) 25 หรือสูงกว่า ค่าดัชนีมวลกายเป็นการวัดไขมันในร่างกายโดยพิจารณาจากส่วนสูงและน้ำหนักของแต่ละบุคคล และให้ค่าประมาณของระดับไขมันในร่างกาย

มีหลายปัจจัยที่สามารถนำไปสู่การมีน้ำหนักเกิน รวมถึงปัจจัยทางพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม การกินที่มากเกินไป และพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่นำพาให้เกิดโรคอ้วน เงื่อนไขทางการแพทย์และยาบางชนิดอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้

การมีน้ำหนักเกินสามารถเพิ่มความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพต่างๆ รวมถึง:

โรคเบาหวานประเภท 2:
ไขมันในร่างกายส่วนเกินสามารถรบกวนความสามารถของร่างกายในการใช้อินซูลิน นำไปสู่การดื้อต่ออินซูลินและระดับน้ำตาลในเลือดสูง

ความดันโลหิตสูง:
น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือด นำไปสู่ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของความดันโลหิตสูง

คอเลสเตอรอลสูง:
การมีน้ำหนักเกินอาจทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงและระดับ HDL คอเลสเตอรอลต่ำ ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ

โรคหัวใจ:
ไขมันในร่างกายส่วนเกินสามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ รวมถึงโรคหลอดเลือดหัวใจ หัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ:
การมีน้ำหนักเกินสามารถเพิ่มความเสี่ยงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น ซึ่งเป็นความผิดปกติของการนอนหลับที่การหายใจหยุดและเริ่มขึ้นซ้ำๆ

ปัญหาเกี่ยวกับข้อต่อ:
น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นสามารถเพิ่มแรงกดดันต่อข้อต่อ นำไปสู่อาการปวดข้อและโรคข้อเข่าเสื่อม

ภาวะซึมเศร้า:
การมีน้ำหนักเกินอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต รวมถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล

การป้องกันและการจัดการภาวะน้ำหนักเกินเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายเป็นประจำ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ในบางกรณี อาจจำเป็นต้องใช้ยาหรือการผ่าตัดเพื่อจัดการกับปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนัก สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าการมีน้ำหนักเกินเป็นภาวะทางการแพทย์ที่อาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพ และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำงานร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์เพื่อพัฒนาแผนการจัดการน้ำหนักเฉพาะบุคคลที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

ลดน้ำหนักยังไงก็ไม่ลง

ออกกำลังกายยังไงก็ไม่ลด
การลดน้ำหนักอาจเป็นกระบวนการที่ท้าทาย แต่ก็เป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักด้วยแนวทางที่ถูกต้อง เคล็ดลับในการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมีดังนี้

ตั้งเป้าหมายที่เป็นจริงได้:
เมื่อพูดถึงการลดน้ำหนัก สิ่งสำคัญคือต้องตั้งเป้าหมายที่ทำได้ การตั้งเป้าที่จะลดน้ำหนักให้ได้ 1-2 กิโลต่อสัปดาห์เป็นอัตราการลดน้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพและยั่งยืน

กินอาหารเพื่อสุขภาพ:
อาหารเพื่อสุขภาพเป็นองค์ประกอบสำคัญของการลดน้ำหนัก เน้นการรับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนและครบถ้วน รวมทั้งผลไม้ ผัก โปรตีนไม่ติดมัน เมล็ดธัญพืช และไขมันที่ดีต่อสุขภาพ จำกัดอาหารแปรรูปและน้ำตาลสูง เนื่องจากอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้

ดูขนาดอาหารของคุณ:
ใส่ใจกับขนาดอาหารของคุณ และใช้จานที่เล็กลงเพื่อช่วยควบคุมปริมาณอาหารของคุณ

รักษาความชุ่มชื้น:
การดื่มน้ำมาก ๆ สามารถช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มและลดปริมาณแคลอรี่โดยรวมของคุณ ตั้งเป้าดื่มน้ำอย่างน้อยแปดแก้วต่อวัน

ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ:
การออกกำลังกายเป็นประจำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการลดน้ำหนัก ตั้งเป้าหมายที่จะออกกำลังกายหนักปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ

ติดตามความคืบหน้าของคุณ:
การติดตามความคืบหน้าของการลดน้ำหนักสามารถช่วยให้คุณมีแรงจูงใจและติดตามได้ ลองใช้ไดอารี่อาหารหรือแอพติดตามการออกกำลังกายเพื่อช่วยติดตามความคืบหน้าของคุณ

นอนหลับให้เพียงพอ:
การนอนหลับให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการลดน้ำหนัก ตั้งเป้าหมายที่จะนอนหลับให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เนื่องจากการอดนอนอาจส่งผลเสียต่อระบบเผาผลาญและเพิ่มความอยากอาหาร

ตัวช่วยพิเศษ: ปากกาลดน้ำหนัก เป็นตัวช่วยสำคัญ สำหรับคนที่ลองมาทุกวิธีแล้วก็ยังไม่ได้ผล ใช้ให้เป็น ใช้ให้ถูก ตามแพทย์แนะนำ ได้ผลแบบชัดเจน ส่งเสริมให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ

สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืนต้องใช้เวลาและความพยายาม และไม่มีแนวทางใดที่เหมาะกับทุกวิถีทาง ขอแนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เช่น นักกำหนดอาหารหรือแพทย์ที่ขึ้นทะเบียนไว้เสมอ ก่อนเริ่มโปรแกรมลดน้ำหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีโรคประจำตัวหรือกำลังใช้ยาอยู่ พวกเขาสามารถช่วยคุณพัฒนาแผนการลดน้ำหนักเฉพาะบุคคลที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับคุณ

ควบคุมแคลอรี่ต่อวัน

จำนวนแคลอรีที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันอาจแตกต่างกันไปตามปัจจัยหลายอย่าง รวมถึงอายุ เพศ ส่วนสูง น้ำหนัก และระดับกิจกรรม นี่คือภาพรวมทั่วไปของปริมาณแคลอรี่ที่แนะนำต่อวันสำหรับกลุ่มอายุและเพศต่างๆ:

เด็กและวัยรุ่น:
ความต้องการแคลอรี่สำหรับเด็กและวัยรุ่นขึ้นอยู่กับอายุ เพศ และระดับกิจกรรมของพวกเขา โดยเฉลี่ยแล้ว เด็กและวัยรุ่นที่กระตือรือร้นต้องการพลังงานระหว่าง 1,600 ถึง 3,000 แคลอรี่ต่อวัน

ผู้หญิงวัยผู้ใหญ่:
ผู้หญิงวัยผู้ใหญ่มักต้องการแคลอรีน้อยกว่าผู้ชาย เนื่องจากพวกเธอมักจะมีขนาดตัวที่เล็กกว่าและมีมวลกล้ามเนื้อน้อยกว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่ต้องการพลังงานระหว่าง 1,600 ถึง 2,400 แคลอรี่ต่อวัน ขึ้นอยู่กับอายุ ระดับกิจกรรม และปัจจัยส่วนบุคคลอื่นๆ

ผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่:
ผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่มักจะต้องการแคลอรี่มากกว่าผู้หญิง เนื่องจากพวกเขามักจะมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าและมวลกล้ามเนื้อที่สูงกว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ต้องการพลังงานระหว่าง 2,000 ถึง 3,000 แคลอรี่ต่อวัน ขึ้นอยู่กับอายุ ระดับกิจกรรม และปัจจัยส่วนบุคคลอื่นๆ

โปรดทราบว่าสิ่งเหล่านี้เป็นคำแนะนำทั่วไป และความต้องการแคลอรี่อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อความต้องการแคลอรี่ ได้แก่ การเผาผลาญ พันธุกรรม และสุขภาพโดยรวม

สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าคุณภาพของแคลอรี่มีความสำคัญพอๆ กับปริมาณ พยายามรับแคลอรีจากอาหารที่อุดมด้วยสารอาหาร เช่น ผลไม้ ผัก เมล็ดธัญพืช โปรตีนไม่ติดมัน และไขมันดี แทนที่จะเป็นอาหารแปรรูปหรือมีน้ำตาล

และที่อันตรายที่สุด คือ กลุ่มคนที่ชอบรับประทานจุกจิก ชอบทานนอกมื้ออาหาร ติดขนม ของขบเคี้ยว ยิ่งมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดพฤติกรรมที่จะทำให้อ้วน ควรหาตัวช่วยที่มีแคลอรีต่ำแต่ให้ปริมาณความอิ่มที่สูงกว่าปกติ จะช่วยให้ควบคุมแคลอรีได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะปัจจุบันทุกอย่างมีในอินเตอร์เน็ต ถ้าอยากรู้ว่าอาหารที่กำลังจะรับประทานนี้มีแคลอรีเท่าไหร่ก็สามารถรู้ได้และคำนวนให้เหมาะสมกับอัตราการเผาผลาญของตัวเอง การควบคุมแคลอรีก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

สรุปว่าใครควรใช้ปากกาลดน้ำหนักบ้าง

ปากกาลดน้ำหนัก สามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง แต่ผู้ใช้ต้องใช้อย่างมีความรู้ภายใต้ความควบคุมของแพทย์ นอกจากนี้ผู้ใช้ยังหวังพึ่งแต่ตัวช่วยอย่างปากกาเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรู้จักควบคุมอาหาร แบ่งเวลาออกกำลังกาย ต้องมีวินัยกับตัวเองให้มากๆ หากสามารถทำได้ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ความสำเร็จในการลดน้ำหนัก จะไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินเอื้อม

หากใครสนใจเรียนเชิญที่ DRC Clinic หมอหนูปอนด์ยินดีให้คำปรึกษา

ใครบ้างที่ต้องใช้ปากกาลดน้ำหนัก

ใครบ้างที่ต้องใช้ปากกาลดน้ำหนัก
ใครบ้างที่ต้องใช้ปากกาลดน้ำหนัก
ปากกาลดน้ำหนัก ต้องใช้บ่อยแค่ไหน

สารบัญ ปากกาลดน้ำหนักต้องใช้บ่อยแค่ไหน

ปากกาลดน้ำหนักต้องใช้บ่อยไหม

หากคุณกำลังพยายามลดน้ำหนัก คุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับเครื่องมือใหม่ที่เรียกว่าปากกาลดน้ำหนัก อุปกรณ์นี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณลดน้ำหนักโดยลดความอยากอาหารและทำให้คุณรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น แต่คุณควรใช้บ่อยแค่ไหนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด?

ความถี่ในการใช้มีปัจจัยอะไรบ้าง

ความถี่ในการใช้ปากกาลดน้ำหนักจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ รวมถึงสุขภาพโดยรวม ไลฟ์สไตล์ และเป้าหมายการลดน้ำหนัก อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าปากกาลดน้ำหนักไม่ใช่ยาวิเศษที่จะทำให้คุณลดน้ำหนักได้ด้วยตัวเอง คุณยังต้องปฏิบัติตามการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อดูผลลัพธ์ที่สำคัญ

ความต้องการและเป้าหมาย

คุณควรใช้ปากกาลดน้ำหนักบ่อยแค่ไหน? ไม่มีคำตอบเดียวสำหรับคำถามนี้ เนื่องจากขึ้นอยู่กับความต้องการและเป้าหมายของแต่ละคน อย่างไรก็ตาม ต่อไปนี้เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปบางประการที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นใช้งานตัวปากกาลดน้ำหนัก โดยอิงจากความปลอดภัยเป็นสำคัญ หากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญไม่แนะนำให้คุณใช้ โปรดอย่าฝ่าฝืนคำแนะนำเพราะอาจเกิดอันตรายกับตัวคุณ

ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ปากกาลดน้ำหนัก

ทำตามคำแนะนำของผู้ผลิต

ปากกาลดน้ำหนักแต่ละแบบจะแตกต่างกัน ดังนั้นคุณควรอ่านคำแนะนำที่มาพร้อมกับปากกาอย่างระมัดระวัง ผู้ผลิตมักจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับความถี่ในการใช้ปากกา วิธีการใช้อย่างถูกต้อง และข้อควรระวังใดๆ ที่คุณควรทำ

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

หากคุณมีภาวะสุขภาพใดๆ สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพก่อนที่จะใช้ปากกาลดน้ำหนัก พวกเขาสามารถช่วยคุณตัดสินว่าปลอดภัยสำหรับคุณที่จะใช้หรือไม่ และควรใช้บ่อยแค่ไหนตามความต้องการของแต่ละคน

ใช้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการลดน้ำหนัก

ปากกาลดน้ำหนักเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งที่คุณสามารถใช้เพื่อช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด คุณควรใช้มันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลดน้ำหนักโดยรวม ซึ่งรวมถึงการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและการออกกำลังกาย

รู้จักร่างกายตัวเอง

ให้ความสนใจกับวิธีที่ร่างกายของคุณตอบสนองต่อปากกาลดน้ำหนัก หากคุณพบผลข้างเคียงใด ๆ หรือไม่สบายใจที่จะใช้ ให้หยุดใช้และปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

สรุปว่าต้องใช้ปากกาลดน้ำหนักบ่อยแค่ไหน

โดยสรุปแล้ว ความถี่ในการใช้ปากกาลดน้ำหนักจะขึ้นอยู่กับความต้องการและเป้าหมายส่วนบุคคลของคุณ สิ่งสำคัญคือต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิต ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ใช้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการลดน้ำหนักโดยรวม และฟังร่างกายของคุณเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด จำไว้ว่าการลดน้ำหนักคือการเดินทาง และต้องใช้เวลา ความอดทน และความพากเพียรเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

ปากกาลดน้ำหนัก หรือ ฮอร์โมนที่ช่วยคุยหิวในรูปแบบอื่นๆมีปริมาณและวิธีการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับปริมาณสารที่มีและร่างกายที่เริ่มมีอาการต่อต้าน เช่นตัวปากกาจะต้องใช้ทุกวัน แรกเริ่มแพทย์จะแนะนำให้ใช้เพียงวันละ 0.6 ต่อวัน แต่เมื่อร่างกายมีอาการชินกับฮอร์โมนก็ต้องปรับระดับเพิ่มเป็น 1.2 ตามลำดับ แต่ถ้าเกิดเว้นช่วงในการใช้ไปซักระยะหนึ่งจะต้องมีการวางแผนกลับมาใช้อย่างเข้าใจกลไลร่างกายของตนเอง

หากใครสนใจเรียนเชิญที่ DRC Clinic หมอหนูปอนด์ยินดีให้คำปรึกษา

ปากกาลดน้ำหนักต้องใช้บ่อยแค่ไหน

ปากกาลดน้ำหนักต้องใช้บ่อยแค่ไหน
ปากกาลดน้ำหนักต้องใช้บ่อยแค่ไหน
หลักการทำงานของปากกาลดน้ำหนัก

สารบัญการทำงานของปากกาลดน้ำหนัก

การทำงานของปากกาลดน้ำหนัก

ปากกาลดน้ำหนักเป็นยาลดน้ำหนักตามใบสั่งแพทย์ ทำงานโดยควบคุมระดับของฮอร์โมนที่เรียกว่า Glucagon-Like-Peptide-1 (GLP-1) ซึ่งผลิตขึ้นตามธรรมชาติในร่างกาย และช่วยควบคุมความอยากอาหารและการย่อยอาหาร ช่วยเพิ่มระดับของ GLP-1 ในร่างกาย ซึ่งจะทำให้รู้สึกอิ่มและลดความอยากอาหาร ส่งผลให้น้ำหนักลดลง ยานี้ใช้เป็นส่วนเสริมของอาหารที่มีแคลอรีลดลงและเพิ่มการออกกำลังกายเพื่อรักษาโรคอ้วน โดยฉีดเข้าที่ร่างกายบริเวณท้อง เพื่อให้ตัวยาเข้าไปบริเวณกระเพาะอาหาร โดยตัวฮอร์โมนมีหลายประเภทและมีวิธีการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ทั้งแบบฉีดๆทุกวัน สัปดาห์ละครั้ง สำหรับคนที่กลัวเข็มก็ยังมีแบบรับประทาน ที่ต้องทานทุกวันโดยมีปริมาณที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละบุคคล

GLP-1 คืออะไร

GLP-1 (Glucagon-Like-Peptide-1) เป็นฮอร์โมนที่ควบคุมระดับกลูโคสในร่างกายและส่งเสริมการหลั่งอินซูลิน นอกจากนี้ยังมีผลทางสรีรวิทยาอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่น ลดความอยากอาหาร และชะลอการถ่ายอุจจาระในกระเพาะอาหาร GLP-1 agonists ซึ่งเป็นยาที่เลียนแบบผลของ GLP-1 ใช้รักษาโรคเบาหวานประเภท 2 และโรคอ้วน ยาเหล่านี้ทำงานโดยเพิ่มการหลั่งอินซูลินและลดการผลิตกลูโคสจากตับ ซึ่งนำไปสู่การควบคุมระดับน้ำตาลที่ดีขึ้น

ระดับน้ำตาลมีอันตรายไหม

กลูโคสเองไม่เป็นอันตราย แต่ระดับน้ำตาลในเลือดสูง (น้ำตาลในเลือดสูง) อาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพได้ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรังสามารถนำไปสู่การพัฒนาของภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ความเสียหายของเส้นประสาท โรคไต และปัญหาเกี่ยวกับดวงตา นอกจากนี้ ระดับกลูโคสที่สูงมากอาจทำให้เกิดภาวะที่คุกคามชีวิตได้ เช่น ภาวะกรดคีโตซิโดซิสจากเบาหวาน สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน สิ่งสำคัญคือต้องควบคุมระดับน้ำตาลให้ดีเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ และรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในช่วงเป้าหมาย

ช่วยยับยั้งเบาหวาน

โรคเบาหวานเป็นภาวะเรื้อรังที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมปริมาณกลูโคส (น้ำตาลชนิดหนึ่ง) ในเลือดได้ โรคเบาหวานมีสองประเภทหลัก:

โรคเบาหวานประเภท 1 ซึ่งเป็นโรคภูมิต้านตนเองที่เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีและทำลายเซลล์ในตับอ่อนที่ผลิตอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 จำเป็นต้องฉีดอินซูลินหรือใช้ปั๊มอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาล

โรคเบาหวานประเภท 2 ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อร่างกายดื้อต่ออินซูลินและไม่สามารถผลิตฮอร์โมนได้เพียงพอเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โรคเบาหวานประเภท 2 มักเชื่อมโยงกับปัจจัยในการดำเนินชีวิต เช่น การใช้ชีวิตแบบนั่งกับที่ โรคอ้วน และการรับประทานอาหารที่ไม่ดี และมักได้รับการรักษาด้วยยารับประทาน การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต และการรักษาด้วยอินซูลิน

โรคเบาหวานทั้งสองชนิดสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพที่ร้ายแรงได้หากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม รวมถึงโรคหัวใจ เส้นประสาทถูกทำลาย โรคไต และปัญหาเกี่ยวกับดวงตา เพื่อช่วยในการจัดการโรคเบาหวาน สิ่งสำคัญคือต้องรักษาการควบคุมระดับน้ำตาลให้ดีผ่านการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ และรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง

ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

โรคหัวใจ หรือที่เรียกว่าโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นคำกว้างๆ ที่หมายถึงสภาวะที่ส่งผลต่อหัวใจและหลอดเลือด เป็นสาเหตุการตายอันดับต้น ๆ ของโลก โรคหัวใจมีหลายรูปแบบ ได้แก่ :

1) โรคหลอดเลือดหัวใจ (CAD) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดแดงที่ส่งเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบหรืออุดตัน นำไปสู่อาการเจ็บหน้าอก (angina) หรือหัวใจวาย
2) โรคลิ้นหัวใจ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อลิ้นหัวใจอย่างน้อยหนึ่งวาล์วทำงานผิดปกติ นำไปสู่การบ่นของหัวใจและอาการอื่นๆ
3) ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmias) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงของจังหวะการเต้นของหัวใจปกติที่อาจทำให้ใจสั่น หายใจถี่ หรือแม้แต่เสียชีวิตอย่างกะทันหันได้ 4) ภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย 5) Cardiomyopathy ซึ่งเป็นโรคของกล้ามเนื้อหัวใจที่ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ยาก

ปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง การสูบบุหรี่ โรคอ้วน การรับประทานอาหารที่ไม่ดี การขาดการออกกำลังกาย และประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ เพื่อลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ สิ่งสำคัญคือต้องดำเนินชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่สูบบุหรี่ ควบคุมน้ำหนักและสุขภาพของตัวเองให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมผมจะช่วยป้องกันโรคภัยที่แถมมาด้วย

สรุปว่า ปากกาลดน้ำหลักมีหลักการทำงานอย่างไร

โดยรวมแล้ว ปากกาลดน้ำหนักมีความสามารถในการยับยั้งพฤติกรรมการกิน ป้องกันการรับประทานอาหารที่เกินความจำเป็นมากจนเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้เกิดโรคร้ายต่างๆมากมาย ซึ่งมีอันตรายถึงชีวิต ทุกคนควรตระหนักและเข้าใจร่างกายของตนเอง และหมั่นดูแลอย่างสม่ำเสมอทั้งการกินอาหารที่มีประโยชน์ควบคู่กับการออกกำลังกาย และเลี่ยงอาหารที่เป็นพิษ เช่น บุหรี่ สุรา เป็นต้น

หากใครสนใจเรียนเชิญที่ DRC Clinic หมอหนูปอนด์ยินดีให้คำปรึกษา

หลักการทำงานของปากกาลดน้ำหนัก

หลักการทำงานของปากกาลดน้ำหนัก
หลักการทำงานของปากกาลดน้ำหนัก
ใช้ค่า BMI ในการลดน้ำหนักอย่างไร

สารบัญ BMI

BMI คืออะไร

ดัชนีมวลกายหรือ BMI คือการคำนวณง่ายๆ ที่ใช้ในการพิจารณาว่าบุคคลนั้นมีน้ำหนักน้อย น้ำหนักปกติ น้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วน สูตรคำนวณค่าดัชนีมวลกายคือน้ำหนักเป็นกิโลกรัมหารด้วยส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง (kg/m^2)

หลักการที่ใช้คำนวนค่า BMI

โปรดทราบว่าค่าดัชนีมวลกายเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ควรพิจารณาเมื่อประเมินสุขภาพของบุคคล ปัจจัยอื่นๆ เช่น มวลกล้ามเนื้อ องค์ประกอบของร่างกาย และสุขภาพโดยรวมก็มีบทบาทในการกำหนดสถานะสุขภาพโดยรวมของบุคคลเช่นกัน นอกจากนี้ ค่าดัชนีมวลกายอาจไม่ใช่ตัวบ่งชี้สุขภาพที่ถูกต้องสำหรับนักกีฬาหรือผู้สูงอายุ เนื่องจากอาจมีมวลกล้ามเนื้อในปริมาณที่สูงกว่า ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าดัชนีมวลกายสูงขึ้น

การคำนวน BMI

คนที่มีค่าดัชนีมวลกายระหว่าง 18.5 ถึง 24.9 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์น้ำหนักปกติ ค่าดัชนีมวลกาย 25 ขึ้นไปถือว่ามีน้ำหนักเกิน และค่าดัชนีมวลกาย 30 ขึ้นไปถือว่าเป็นโรคอ้วน แต่หากน้อยกว่า 18.5 ก็ถือว่าผอมเกินไป

การเช็คค่า BMI

BMI ต่ำกว่า 18.5

BMI under 18.5
หากดัชนีมวลกาย (BMI) ของคุณต่ำกว่า 18.5 ถือว่าน้ำหนักน้อย ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนที่คุณสามารถทำได้:
1) ปรึกษาแพทย์: หารือเกี่ยวกับข้อกังวลของคุณกับบุคลากรทางการแพทย์เพื่อตัดประเด็นปัญหาสุขภาพที่อาจมีส่วนทำให้คุณมีค่าดัชนีมวลกายต่ำ
2) ปรับปรุงอาหารของคุณ: เน้นการบริโภคอาหารที่สมดุลซึ่งรวมถึงอาหารที่หลากหลายและอุดมด้วยสารอาหาร เช่น ผลไม้ ผัก เมล็ดธัญพืช โปรตีนไม่ติดมัน และไขมันที่ดีต่อสุขภาพ
3) เพิ่มปริมาณแคลอรี่ของคุณ: ตั้งเป้าที่จะกินแคลอรี่ให้เพียงพอเพื่อรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างดีต่อสุขภาพ โดยคำนึงถึงอายุ ส่วนสูง ระดับกิจกรรม และสุขภาพโดยรวมของคุณ
4) พิจารณาอาหารเสริมเพิ่มน้ำหนัก: หากจำเป็น ให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการทานอาหารเสริมเพิ่มน้ำหนักเพื่อช่วยให้คุณมีน้ำหนักที่พอเหมาะ
5) ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: การผสมผสานการออกกำลังกายเข้ากับกิจวัตรประจำวันของคุณสามารถช่วยสร้างกล้ามเนื้อและเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี่โดยรวมได้
6) อดทน: การเพิ่มน้ำหนักอย่างมีสุขภาพดีต้องใช้เวลา ดังนั้นจงอดทนและพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงค่าดัชนีมวลกายของคุณ

สิ่งสำคัญคือต้องขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญและอย่าพยายามเพิ่มน้ำหนักด้วยตัวเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม

BMI 18.5-24.9

Normal BMI 18.5-24.9
หากดัชนีมวลกาย (BMI) ของคุณอยู่ในช่วงปกติ (18.5 ถึง 24.9) ต่อไปนี้คือขั้นตอนบางอย่างที่คุณสามารถทำได้เพื่อรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ:

1) ยอมรับการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ: เน้นการบริโภคอาหารที่สมดุลซึ่งมีน้ำตาล ไขมันอิ่มตัว และโซเดียมต่ำ และมีผลไม้ ผัก เมล็ดธัญพืช และโปรตีนไม่ติดมันสูง
2) เพิ่มการออกกำลังกาย: ตั้งเป้าออกกำลังกายระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีหรือออกกำลังกายหนัก 75 นาทีต่อสัปดาห์
3) จำกัดพฤติกรรมการนั่งนิ่ง: ลดระยะเวลาที่คุณใช้ในการนั่งหรือนอนลง และตั้งเป้าให้มีการเคลื่อนไหวมากขึ้นตลอดทั้งวัน
4) จัดการกับความเครียด: หาวิธีจัดการความเครียดที่ดีต่อสุขภาพ เช่น การออกกำลังกาย การเจริญสติ หรือเทคนิคการผ่อนคลาย เพราะความเครียดอาจนำไปสู่การกินมากเกินไปหรือเลือกอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
5) ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ตั้งเป้าดื่มน้ำอย่างน้อย 8 ถ้วย (64 ออนซ์) ต่อวัน เพื่อสนับสนุนสุขภาพโดยรวมและการจัดการน้ำหนัก
6) จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจทำให้น้ำหนักขึ้นได้ ดังนั้นจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ของคุณให้ไม่เกิน 1 แก้วต่อวันสำหรับผู้หญิง และ 2 แก้วต่อวันสำหรับผู้ชาย

การรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพโดยรวม และการปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน

BMI 25.5-29.9

Over Weight BMI 25.5-29.9
หากดัชนีมวลกาย (BMI) ของคุณอยู่ในช่วงน้ำหนักเกิน (25 ถึง 29.9) ต่อไปนี้คือขั้นตอนบางอย่างที่คุณสามารถทำได้เพื่อให้ได้น้ำหนักที่เหมาะสม:

1) ปรึกษาแพทย์: ปรึกษาข้อกังวลของคุณกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย
2) ยอมรับการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ: เน้นการบริโภคอาหารที่สมดุลซึ่งมีน้ำตาล ไขมันอิ่มตัว และโซเดียมต่ำ และมีผลไม้ ผัก เมล็ดธัญพืช และโปรตีนไม่ติดมันสูง
3) เพิ่มการออกกำลังกาย: ตั้งเป้าออกกำลังกายระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีหรือออกกำลังกายหนัก 75 นาทีต่อสัปดาห์
4) จำกัดพฤติกรรมการนั่งนิ่ง: ลดระยะเวลาที่คุณใช้ในการนั่งหรือนอนลง และตั้งเป้าให้มีการเคลื่อนไหวมากขึ้นตลอดทั้งวัน
5) ติดตามสิ่งที่คุณกิน: จดบันทึกอาหารหรือใช้แอพเพื่อติดตามปริมาณแคลอรี่ที่คุณได้รับและให้แน่ใจว่าคุณกำลังรับประทานอาหารที่สมดุล
6) หลีกเลี่ยงอาหารแฟชั่น: อาหารแฟชั่นอาจทำให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว แต่มักไม่ยั่งยืนและอาจทำให้น้ำหนักขึ้นได้
7) ขอการสนับสนุน: การเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน การทำงานร่วมกับนักโภชนาการที่ลงทะเบียน หรือการพบนักบำบัดสามารถช่วยให้คุณมีแรงจูงใจและติดตามในขณะที่คุณทำงานเพื่อให้ได้น้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพ

สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าการลดน้ำหนักควรดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปและปลอดภัย ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอย่างยั่งยืนเพื่อการควบคุมน้ำหนักในระยะยาว แทนที่จะแก้ไขอย่างรวดเร็ว

BMI มากกว่า 30

Obese BMI Over 30
หากดัชนีมวลกาย (BMI) ของคุณอยู่ระหว่าง 30 ถึง 34.9 จะถือว่าเป็นโรคอ้วนระดับ I คุณสามารถทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:

1) ปรึกษาแพทย์: ปรึกษาข้อกังวลของคุณกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย
2) ยอมรับการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ: เน้นการบริโภคอาหารที่สมดุลซึ่งมีน้ำตาล ไขมันอิ่มตัว และโซเดียมต่ำ และมีผลไม้ ผัก เมล็ดธัญพืช และโปรตีนไม่ติดมันสูง
3) เพิ่มการออกกำลังกาย: ตั้งเป้าออกกำลังกายระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีหรือออกกำลังกายหนัก 75 นาทีต่อสัปดาห์
4) จำกัดพฤติกรรมการนั่งนิ่ง: ลดระยะเวลาที่คุณใช้ในการนั่งหรือนอนลง และตั้งเป้าให้มีการเคลื่อนไหวมากขึ้นตลอดทั้งวัน
5) พิจารณาการรักษาด้วยยาลดน้ำหนักหรือการผ่าตัด: หากจำเป็น ให้พูดคุยกับแพทย์ของคุณเกี่ยวกับทางเลือกในการใช้ยาลดน้ำหนักหรือการผ่าตัด เนื่องจากยาเหล่านี้อาจมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคอ้วน
6) ขอการสนับสนุน: การเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน การทำงานร่วมกับนักโภชนาการที่ลงทะเบียน หรือการพบนักบำบัดสามารถช่วยให้คุณมีแรงจูงใจและติดตามในขณะที่คุณทำงานเพื่อให้ได้น้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพ

สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าการลดน้ำหนักควรดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปและปลอดภัย ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น การลดน้ำหนักแม้เพียงเล็กน้อยก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน

ปากกาลดน้ำหนักลดค่า BMI ได้ยังไง

“ปากกาลดน้ำหนัก” ที่สามารถลดดัชนีมวลกาย (BMI) ของคุณได้ ค่าดัชนีมวลกายเป็นการวัดไขมันในร่างกายโดยพิจารณาจากส่วนสูงและน้ำหนัก และการลดน้ำหนักและการลดค่าดัชนีมวลกายจำเป็นต้องมีการผสมผสานระหว่างพฤติกรรมการกินเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าปากกาลดน้ำหนักหรือผลิตภัณฑ์อื่นที่คล้ายคลึงกันอาจช่วยให้คุณควบคุมพฤติกรรมการบริโภคได้ แต่คุณก็ต้องออกกำลังกายเบาๆควบคู่ไปด้วยถึงจะเห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้น หากคุณต้องการลดน้ำหนักและลดค่าดัชนีมวลกาย วิธีที่ดีที่สุดคือปรึกษาแพทย์หรือนักกำหนดอาหารที่ขึ้นทะเบียนเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการบรรลุเป้าหมายการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพผ่านการเปลี่ยนแปลงอาหารและวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ

กังวลค่า BMI ไม่อยู่ในเกณฑ์ปกติ

ขอแนะนำให้หารือเกี่ยวกับค่าดัชนีมวลกายของคุณกับผู้ให้บริการด้านสุขภาพ ซึ่งสามารถช่วยให้คุณเข้าใจว่าค่าดัชนีมวลกายมีความหมายอย่างไรต่อสุขภาพโดยรวมของคุณ และให้คำแนะนำส่วนบุคคลสำหรับการรักษาหรือปรับปรุงสุขภาพของคุณ

สรุปว่า BMI คืออะไร

โดยรวมแล้ว ค่าดัชนีมวลกายเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการประเมินสถานะน้ำหนักของบุคคล แต่ควรใช้ร่วมกับข้อมูลสุขภาพอื่น ๆ เพื่อให้ได้ภาพรวมที่สมบูรณ์ของสุขภาพของบุคคล

หากใครสนใจเรียนเชิญที่ DRC Clinic หมอหนูปอนด์ยินดีให้คำปรึกษา

ใช้ค่า BMI ในการลดน้ำหนักอย่างไร

ใช้ค่า BMI ในการลดน้ำหนักอย่างไร
ใช้ค่า BMI ในการลดน้ำหนักอย่างไร
GLP-1 ในปากกาลดน้ำหนักคืออะไร

สารบัญ GLP-1

GLP-1 คืออะไร

GLP-1 (Glucagon-like peptide 1) GLP-1 หรือเปปไทด์คล้ายกลูคากอน-1 เป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการเผาผลาญกลูโคสและความอยากอาหาร ผลิตและปล่อยออกมาจากเซลล์ในลำไส้เพื่อตอบสนองต่อการบริโภคอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาร์โบไฮเดรตและไขมัน เมื่อปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด GLP-1 จะออกฤทธิ์ที่ตับอ่อนเพื่อกระตุ้นการหลั่งอินซูลินและลดการหลั่งกลูคากอน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง นอกจากนี้ยังลดความอยากอาหารด้วยการส่งสัญญาณให้สมองรู้สึกอิ่มมากขึ้น

ประโยชน์ของ GLP-1

GLP-1 มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ รวมถึงการปรับปรุงความไวของอินซูลิน ลดน้ำหนักตัว และลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานประเภท 2 นอกจากนี้ GLP-1 ยังได้รับการศึกษาถึงศักยภาพในการรักษาภาวะอื่นๆ เช่น โรคหัวใจ ความผิดปกติของระบบประสาท และมะเร็งบางชนิด เพื่อเพิ่มผลกระทบของ GLP-1 จึงได้มีการพัฒนายาหลายชนิดที่เลียนแบบผลของมัน ยาเหล่านี้เรียกว่า GLP-1 receptor agonists มักถูกกำหนดให้รักษาโรคเบาหวานประเภท 2 และโรคอ้วน

GLP-1 ช่วยแก้ปัญหาอะไร

การใช้ GLP-1 หรือ GLP-1 receptor agonists เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคอ้วน เนื่องจากช่วยควบคุมการเผาผลาญกลูโคสและลดความอยากอาหาร

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจใช้ GLP-1 หรือ GLP-1 receptor agonists ควรปรึกษากับผู้ให้บริการทางการแพทย์ ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ เช่น แพทย์ปฐมภูมิหรือแพทย์ต่อมไร้ท่อ สามารถช่วยตัดสินว่า GLP-1 หรือ GLP-1 receptor agonists นั้นเหมาะสมกับแต่ละบุคคลหรือไม่ และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็สามารถสั่งยาและติดตามการรักษาได้

เป็นสิ่งสำคัญสำหรับบุคคลที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพเพื่อติดตามสภาพของพวกเขาอย่างสม่ำเสมอและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษา การนัดตรวจติดตามผลและการตรวจเลือดเป็นประจำสามารถช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและปลอดภัย

แก้โรคอ้วนด้วย GLP-1

โรคอ้วนเป็นภาวะที่มีไขมันในร่างกายมากเกินไปซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ โดยปกติจะวัดโดยดัชนีมวลกาย (BMI) ซึ่งคำนวณจากส่วนสูงและน้ำหนักของบุคคล ค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 ขึ้นไปถือว่าเป็นโรคอ้วน

โรคอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ รวมถึงเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และมะเร็งบางชนิด นอกจากนี้ยังสามารถนำไปสู่การลดคุณภาพชีวิตและอายุขัยที่ลดลง

การรักษาโรคอ้วนมักเกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต รวมถึงการรับประทานอาหารที่สมดุลและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ยาลดน้ำหนัก เช่น GLP-1 receptor agonists อาจถูกกำหนดให้กับบุคคลที่ไม่สามารถลดน้ำหนักได้อย่างมีนัยสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเพียงอย่างเดียว การผ่าตัดลดความอ้วนอาจแนะนำสำหรับผู้ที่เป็นโรคอ้วนอย่างรุนแรงซึ่งไม่สามารถบรรลุและรักษาน้ำหนักด้วยวิธีอื่นได้

สิ่งสำคัญสำหรับบุคคลที่เป็นโรคอ้วนจะต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ให้บริการด้านสุขภาพเพื่อพัฒนาแผนการรักษาเฉพาะบุคคลที่ตอบสนองความต้องการและเป้าหมายเฉพาะของพวกเขา การจัดการน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพต้องใช้แนวทางที่ครอบคลุมและความมุ่งมั่นในระยะยาว

แก้เบาหวานด้วย GLP-1

โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่มีระดับกลูโคส (น้ำตาล) ในเลือดสูง โรคเบาหวานมีสองประเภทหลัก: โรคเบาหวานประเภท 1 และโรคเบาหวานประเภท 2

โรคเบาหวานประเภท 1 เป็นโรคภูมิต้านตนเองที่เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีและทำลายเซลล์ที่ผลิตอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ต้องฉีดอินซูลินทุกวันเพื่อจัดการกับสภาพของพวกเขา

ในทางกลับกัน โรคเบาหวานประเภท 2 เป็นโรคทางเมตาบอลิซึมที่มักเชื่อมโยงกับปัจจัยในการดำเนินชีวิต เช่น การรับประทานอาหารที่ไม่ดี การไม่ออกกำลังกาย และโรคอ้วน ในโรคเบาหวานประเภท 2 ร่างกายจะดื้อต่อผลของอินซูลิน ซึ่งนำไปสู่ระดับน้ำตาลในเลือดสูง

โรคเบาหวานทั้งสองประเภทสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพที่ร้ายแรงหากไม่ได้รับการรักษา รวมถึงโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ความเสียหายของเส้นประสาท โรคไต ความเสียหายต่อดวงตา และปัญหาเท้า

การรักษาโรคเบาหวานโดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต รวมถึงการรับประทานอาหารที่สมดุล การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการควบคุมน้ำหนัก อาจมีการกำหนดยา เช่น GLP-1 receptor agonists เพื่อช่วยควบคุมเมแทบอลิซึมของกลูโคสและปรับปรุงความไวของอินซูลิน การติดตามระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว

สิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานคือต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ให้บริการด้านสุขภาพเพื่อพัฒนาแผนการรักษาเฉพาะบุคคลและติดตามอาการของพวกเขาอย่างสม่ำเสมอ การวินิจฉัยในระยะเริ่มต้นและการจัดการโรคเบาหวานอย่างมีประสิทธิภาพสามารถช่วยป้องกันหรือชะลอการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

ข้อควรระวังในการใช้งาน GLP-1

แม้ว่า GLP-1 ถือเป็นฮอร์โมนที่เป็นประโยชน์ในการควบคุมการเผาผลาญกลูโคสและความอยากอาหาร แต่การใช้ในรูปของยา (GLP-1 receptor agonists) อาจมีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ อันตรายบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับ GLP-1 ได้แก่:

1) คลื่นไส้: หนึ่งในผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดของ GLP-1 receptor agonists คืออาการคลื่นไส้ ซึ่งอาจส่งผลต่อผู้ป่วยได้ถึง 30%
2) อาการท้องเสีย: ผลข้างเคียงที่พบบ่อยอีกอย่างคืออาการท้องร่วง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ถึง 15% ของผู้ป่วย
3) อาการแพ้: ในบางกรณี ผู้ป่วยอาจพบปฏิกิริยาการแพ้ต่อ GLP-1 receptor agonists ซึ่งนำไปสู่อาการต่างๆ เช่น คัน ลมพิษ และหายใจถี่
4) ตับอ่อนอักเสบ: ในบางกรณี GLP-1 receptor agonists มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาของตับอ่อนอักเสบ ซึ่งเป็นภาวะที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
5) ภาวะน้ำตาลในเลือด: ตัวรับ agonists GLP-1 สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดซึ่งนำไปสู่ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (น้ำตาลในเลือดต่ำ) นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งอาจต้องปรับเปลี่ยนอินซูลินหรือยารักษาโรคเบาหวานในช่องปาก

สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าผลข้างเคียงเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเสมอไปในผู้ป่วยทุกรายที่ใช้ GLP-1 และประโยชน์อาจมีมากกว่า อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรปรึกษาถึงความเสี่ยงและผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพก่อนเริ่มใช้งาน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

จะหาซื้อ GLP-1 ได้จากที่ไหน

GLP-1 receptor agonists ซึ่งเลียนแบบผลของฮอร์โมน GLP-1 เป็นยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์เท่านั้น ไม่สามารถซื้อผ่านเคาน์เตอร์ได้ ในการรับ GLP-1 ต้องปรึกษากับผู้ให้บริการด้านสุขภาพก่อน ผู้ให้บริการด้านสุขภาพจะเป็นผู้พิจารณาว่าการรักษานั้นเหมาะสมกับแต่ละบุคคลหรือไม่ และจะสั่งจ่ายยาให้ สามารถขอรับ GLP-1 ได้จากโรงพยาบาลหรือคลินิกที่ให้บริการ ทั้งนี้ต้องมีการแนะนำการใช้งานเบื้องต้น ตลอดจนถึงการติดตามผลและเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด ว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร มีการใช้ยาเกินขนาดหรือไม่ ควรเลือกใช้บริการกับผู้ที่เรามั่นใจในประสบการณ์ของแพทย์และบริการติดตามผล ไม่ควรซื้อจาก MarketPlace ที่ไม่ได้มีการพูดคุยหรือประเมินสุขภาพของคนไข้ก่อนใช้เด็ดขาด

สรุปว่าปากกาลดน้ำหนักคืออะไร

โดยสรุป GLP-1 เป็นฮอร์โมนที่มีหน้าที่สำคัญหลายอย่างในร่างกาย รวมถึงควบคุมระดับน้ำตาลและควบคุมความอยากอาหาร ประโยชน์ต่อสุขภาพที่เป็นไปได้ รวมกับความพร้อมของยาที่เลียนแบบผลกระทบ ทำให้เป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับการรักษาภาวะต่างๆ

หากใครสนใจเรียนเชิญที่ DRC Clinic หมอหนูปอนด์ยินดีให้คำปรึกษา

GLP-1 ในปากกาลดน้ำหนัก

GLP-1 ในปากกาลดน้ำหนัก
GLP-1 ในปากกาลดน้ำหนัก
error: Content is protected !!